ช็อตประเภทต่างๆ ในภาพยนตร์
เริ่มคิดอย่างช่างถ่ายภาพยนตร์ สำรวจประเภทช็อตที่นิยมใช้กันมากที่สุด รวมถึงเวลาและวิธีการใช้เพื่อให้สื่ออารมณ์ได้ดีที่สุด
จากไกลโพ้นสู่ในสายตา
Charlie Chaplin เคยกล่าวไว้ว่า "ชีวิตคือโศกนาฏกรรมเมื่อมองในระยะใกล้ แต่กลับเป็นสุขนาฏกรรมเมื่อมองจากระยะไกล" ช็อตที่เลือกส่งผลอย่างมากต่ออารมณ์ของซีน ผู้กำกับที่ดีไม่ได้เพียงแค่มุ่งถ่ายฟุตเทจให้ครบตามจำนวนขั้นต่ำเท่าที่จำเป็นเพื่อตัดต่อเป็นลำดับเท่านั้น แต่ยังคิดถึงตัวละครและเรื่องราวระหว่างวางแผนถ่ายภาพในช็อตต่างๆ ด้วย
เมื่อเตรียมถ่ายซีนหนึ่งๆ สองสามีภรรยานักเขียนและผู้กำกับ Ruckus และ Lane Skye จะถามสองคำถามกับตัวเอง คือซีนนี้เกิดขึ้นจากมุมมองของใคร และเราต้องการให้ผู้ชมรู้สึกอย่างไร
"หากคุณสุ่มเลือกช็อตสวยๆ โดยไม่คิดถึงสองสิ่งนี้ สุดท้ายงานของคุณจะกลายเป็นจับฉ่ายที่ไม่มีอะไรเข้ากันเลย" Ruckus Skye อธิบาย "สุดท้ายคำถามนี้จะผุดขึ้นมาในห้องตัดต่อ แต่ไม่มีช็อตที่ตอบโจทย์ได้เพราะตอนถ่ายคุณไม่ได้มองในมุมนั้น"
ค้นพบช็อตแบบต่างๆ
ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างก็ทดลองใช้ช็อตและมุมกล้องใหม่ๆ มาตั้งแต่กล้องถ่ายภาพยนตร์รุ่นแรกถือกำเนิดขึ้น รายการประเภทช็อตต่อไปนี้จะช่วยให้เห็นตัวเลือกที่ใช้กันบ่อยๆ แต่บรรดาผู้สร้างภาพยนตร์ยังคงคิดค้นวิธีใหม่ๆ ในการเล่าเรื่องราวกันอย่างไม่หยุดยั้ง
ภาพมุมกว้าง
ภาพมุมกว้าง (Wide Shot)และภาพมุมกว้างมาก (Extreme Wide Shot) เรียกอีกอย่างว่า "ภาพระยะไกล" (Long Shot) และ "ภาพระยะไกลมาก" (Extreme Long Shot) นิยมใช้กันเป็น Establishing Shot ซึ่งจะถ่ายให้เห็นพื้นที่กว้าง เช่น ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาใน Lawrence of Arabia (ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย) หรือถนนที่มีรถติดเป็นแนวยาวใน La La Land (นครดารา) หากมีตัวแบบในเฟรม จะมีขนาดเล็กมาก ช็อตแบบนี้จะบอกผู้ชมเกี่ยวกับสถานที่และเวลาที่เกิดเหตุการณ์ โดยมีประโยชน์ในการแสดงภาพตัวแบบที่กำลังเคลื่อนไหว เนื่องจากสามารถถ่ายให้เห็นทั้งตัวแบบและทิวทัศน์ได้ ช็อตประเภทนี้สามารถใช้สื่อธีมเรื่องได้เช่นกัน โดยแสดงพลังของธรรมชาติ (หรือสังคม หากในช็อตมีตึกรามบ้านช่อง) เมื่อเทียบกับปัจเจก
Master Shot คือช็อตที่จับภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในซีนและมักใช้ภาพระยะไกล เนื่องจากเป็นช็อตที่เก็บทุกรายละเอียด เราจึงขาด Master Shot ไม่ได้ก่อนเข้าห้องตัดต่อ นักตัดต่อสามารถปล่อยให้ซีนไหลไปได้โดยตัดต่อ Master Shot ใส่เข้าไประหว่างช่องว่างในเหตุการณ์หรือบทพูด
เราเรียกช็อตที่มีตัวแบบสองตัวว่า Two Shot ปฏิสัมพันธ์ของตัวแบบ ระยะห่างจากอีกฝ่าย และภาษากายที่แสดงภายใน Two Shot สามารถบอกผู้ชมได้หลายอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแบบ "เราพยายามถ่าย Two Shot สำหรับภาพส่วนใหญ่ในซีน และใช้ Single Shot หรือ Tight Shot เมื่อถึงบทหรือรายละเอียดสำคัญ" Ruckus Skye กล่าว
ภาพระยะกลาง
ภาพระยะกลาง (Medium Shot) จะถ่ายให้เห็นรายละเอียดตัวแบบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Medium-long Shot (3/4 Shot) หรือ Medium Close-up (จากไหล่ขึ้นไป) ภาพระยะกลางแบบทั่วไปใช้แสดงตัวแบบจากเอวขึ้นไป ประกอบด้วยส่วนสำคัญของตัวแบบและฉากหลังบางส่วน Medium Close-up ถ่ายตัวแบบจากไหล่ขึ้นไป สีหน้าของตัวแบบจึงครองพื้นที่ในเฟรมมากขึ้น
ในช่วงทศวรรษ 1930 ผู้สร้างภาพยนตร์ในอเมริกาเริ่มใช้ช็อตระยะกลางรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Cowboy Shot ซึ่งถ่ายนักดวลปืนตั้งแต่หมวกจนถึงกลางน่องเพื่อให้เห็นซองปืน ภาพยนตร์ในยุคนี้ใช้ Cowboy Shot เพื่อแสดงภาษากายของตัวแบบและฉากหลังบางส่วนโดยที่ยังเห็นสีหน้าของตัวแบบด้วย ยกตัวอย่างเช่น ใน Wonder Woman (วันเดอร์วูแมน) Cowboy Shot จับภาพไดอาน่าเดินข้ามสนามรบ ต่อยกระสุนจนกระเด็นออกไป พร้อมกับยิ้มเมื่อรับรู้ถึงพลังของตัวเอง
Over-the-shoulder Shot คือ Two Shot ประเภทหนึ่งที่ถ่ายในระยะกลางได้ด้วย โดยแสดงหลังของตัวแบบตัวหนึ่งอยู่ด้านหน้า ในขณะที่กล้องถ่ายข้ามไปโฟกัสที่ตัวแบบอีกตัวหนึ่งซึ่งกำลังพูดหรือตอบสนองต่ออีกฝ่าย Neal Holman ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์กล่าวว่าช็อตแบบนี้ "เป็นตัวอย่างหนึ่งของ Subjective Shot" "คุณมองข้ามไหล่ของตัวละครตัวหนึ่งไปโดยพยายามจะเข้าใจมุมมองที่ตัวแบบมีต่อซีนนั้นๆ"
สิ่งสำคัญในภาพไม่ใช่คนที่กำลังพูดอยู่เสมอไป Reaction Shot สำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินเรื่องและการพัฒนาตัวละคร Ruckus Skye เล่าว่า "การแสดงที่ฉันชอบที่สุดส่วนหนึ่งเป็นตอนที่นักแสดงกำลังฟังอยู่"
ภาพระยะใกล้
ในช็อตที่ถ่ายระยะใกล้ (Close-up Shot) ใบหน้าของตัวแบบจะเต็มเฟรม ผู้กำกับชาวอิตาลี Sergio Leone โด่งดังขึ้นมาในยุค 60 จากภาพระยะใกล้มากในภาพยนตร์เรื่อง "Spaghetti Westerns" ของเขา ซึ่งในปัจจุบันเรียกกันว่า Italian Shot โดยในเฟรมจะถ่ายเพียงตาหรือปากของตัวแบบ เน้นถึงความตึงเครียดในช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดการต่อสู้
ภาพระยะใกล้ใช้สื่อถึงอารมณ์ที่เข้มข้นได้ "ยิ่งใกล้ ผู้ชมก็ยิ่งเข้าถึงตัวละครมากขึ้น" David Andrew Stoler นักเขียนและผู้สร้างภาพยนตร์กล่าว "ถ้าคุณต้องการสร้างความรู้สึกสุดขั้วให้ผู้ชม คุณควรเข้าไปใกล้มากๆ"
การเคลื่อนกล้องที่รู้จักกันดีวิธีหนึ่งคือ Push-in "หากคุณต้องการให้ผู้ชมเห็นใจหรือเข้าใจอารมณ์ของตัวละคร คุณสามารถค่อยๆ เคลื่อนกล้องเข้าไปใกล้ตัวละคร ทำให้ตัวละครดูใหญ่ขึ้นในเฟรม" Stoler กล่าว "การถ่ายแบบนี้จะทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร" ในทางกลับกัน การถ่ายแบบ Push-out จะเน้นให้เห็นความโดดเดี่ยวของตัวละคร "เป็นการเพิ่มโลกรอบๆ ตัวละครและระยะห่างระหว่างผู้ชมกับตัวแบบ" Stoler กล่าว ช็อตที่มีการเคลื่อนกล้องประเภทเหล่านี้มักต้องใช้ดอลลี จิ๊บ หรือ Steadicam
Cut-in หรือ Insert คือภาพระยะใกล้ที่ถ่ายรายละเอียดเล็กๆ เช่น มือหรือเท้าของตัวแบบ หากตัวละครดูข้อความบนมือถือ ผู้กำกับอาจจะเก็บภาพระยะใกล้ของหน้าจอโทรศัพท์ Cutaway นั้นตรงข้ามกับ Cut-in ซึ่งตัดภาพจากตัวแบบเป็นอย่างอื่น เช่น จากสีหน้าตื่นตกใจของนักแสดงเป็นสุนัขที่กำลังเห่า หรือจากลูกบอลที่ข้ามเส้นประตูเป็นกองเชียร์โห่ร้องที่อัฒจันทร์ การเก็บรวบรวมช็อตอย่างนี้ไว้จะมีประโยชน์ในการตัดต่อหลายๆ เทกของซีนเดียวกันเข้าด้วยกัน
Point-of-view Shot
ในPoint-of-view หรือ POV Shot เราจะเปรียบเหมือนกล้องอยู่ภายในหัวของตัวแบบและถ่ายให้เห็นโลกผ่านสายตาของตัวแบบ เมื่อแทนมุมมองของตัวละคร กล้องจึงสามารถเคลื่อนไปได้ทุกทิศทางที่ตัวแบบสามารถทำได้ ช็อตประเภทนี้อาจให้ความรู้สึกเข้มข้นแก่ผู้ชมและอาจทำให้รู้สึกเวียนหัวด้วย (ลองนึกถึงภาพ POV ที่ถ่ายด้วยกล้อง GoPro ที่ติดตั้งอยู่บนหมวก) แต่ก็สามารถเล่าเรื่องราวที่สะเทือนอารมณ์ได้เช่นกัน เนื่องจากถ่ายให้เห็นประสบการณ์จริงในระยะประชิด
มุมกล้องและความหมาย
มุมที่คุณถ่ายและระยะของกล้องจากพื้นดินควรผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว การถ่ายขึ้นหรือลงไปยังตัวแบบอาจแฝงนัยให้ผู้ชมเห็นสภาพจิตใจหรือระดับอำนาจเมื่อเทียบกับตัวละครตัวอื่นในซีน
Bird’s-eye View
เนื่องจากมองจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง ภาพทางอากาศนี้อาจสื่อถึงความเล็กจ้อยของตัวแบบด้านล่างหรือความกว้างใหญ่ไพศาลของสิ่งที่อยู่แวดล้อมตัวแบบ
Eye-level, High-angle และ Low-angle
Eye-level คือมุมที่เราเห็นในทุกๆ วัน มุมกล้องที่พยายามไม่ตัดสินอะไรใดๆ นี้ ไม่ส่งผลใดๆ ต่อการเล่าเรื่องเหมือนกับการถ่ายจากด้านบนหรือด้านล่างของตัวแบบ สามีภรรยา Skyes หลีกเลี่ยงไม่ใช้มุม Eye-level ในงานของพวกเขา "เพราะไม่บอกอะไรเลย" Lane Skye อธิบาย "เมื่อคุณก้มลงมองจากด้านบนตัวแบบ ตัวแบบจะดูเล็กกว่า" Ruckus Skye เสริม "ตัวแบบอาจไม่มั่นใจหรือมีอำนาจเท่าคุณ และหากคุณมองซูเปอร์ฮีโร่คนใดก็ตาม คุณมักจะต้องมองขึ้นไป ตัวอย่างนี้อาจเห็นกันจนเฝือแล้ว แต่คุณสามารถนำไปใช้ได้ในจุดที่เล็กกว่านี้และแอบส่งผลต่อจิตใต้สำนึกมากกว่า"
พยายามถ่ายช็อตที่ทั้งสวยและเข้ากับธีมเรื่อง
ไม่ว่าจะถ่าย Music Video, โฆษณา หรือสารคดี คุณควรคำนึงถึงเรื่องราวที่คุณต้องการเล่า สิ่งใดที่จะดึงดูดผู้ชมเข้ามาและทำให้ผู้ชมรู้สึกอย่างที่คุณต้องการ
หากคุณไม่ทราบว่าควรใช้ช็อตประเภทใดสำหรับซีนหนึ่งๆ ผู้กำกับสตอรี่บอร์ด Kevin Mellon แนะนำว่า "คุณสามารถเตรียมพร้อมได้โดยการศึกษาจากหนัง หนังสือการ์ตูน และแอนิเมชัน แล้วรวบรวมคลังช็อตแบบต่างๆ ไว้" เมื่อทะลุปรุโปร่งแล้วว่ามีช็อตประเภทใดบ้าง กุญแจสำคัญคือการวางแผน "ส่วนนี้เป็นส่วนเดียวของการสร้างภาพยนตร์ที่คุณจะมีอิสระเต็มที่" Ruckus Skye กล่าว
การวางแผนในกรณีนี้หมายถึงการคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับตัวละครและเหตุการณ์ แล้วเรียบเรียง Shot List ขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ ซึ่งจะช่วยให้คุณถ่ายช็อตที่ต้องใช้ได้อย่างครบถ้วน และเป็นการบังคับให้คุณตอบคำถามสำคัญสองข้อคือ คุณกำลังแสดงมุมมองของใครและคุณต้องการให้ผู้ชมรู้สึกอย่างไร เมื่อคุณทราบคำตอบแล้ว คุณจะเข้าใจและควบคุมเรื่องราวที่ต้องการเล่าและช็อตที่จะช่วยคุณเล่าเรื่องราวนั้นได้ดีขึ้น
ผู้มีส่วนร่วม
Ruckus Skye, Lane Skye, Neal Holman, David Andrew Stoler, Kevin Mellon
ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นด้วย Adobe Premiere Pro
สร้างวิดีโอที่น่าทึ่งสำหรับภาพยนตร์ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ได้เกือบทุกที่
และคุณอาจสนใจ...
Establishing Shot มีความสำคัญมากเพราะจะช่วยบอกเราถึงสถานที่และมักบอกเวลาที่เกิดเหตุการณ์
เรียนรู้วิธีทำ Shot List เพื่อให้ทีมงานจัดเตรียมและตั้งค่ากล้องได้ตลอดทั้งวัน
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการตัดต่อวิดีโอ
เรียนรู้หลักการตัดต่อวิดีโอและเคล็ดลับที่ใช้ได้จริงกับทั้งหน้าจอขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
วิธีการเริ่มต้นสร้างสตอรี่บอร์ด
ดูว่าทักษะการเล่าเรื่องอย่างมีศิลปะนี้ช่วยนำไอเดียขึ้นจอแก้วและจอเงินได้อย่างไร