ไฟล์รอว์เทียบกับไฟล์ JPEG คุณควรถ่ายในรูปแบบใด

รูปแบบของไฟล์สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับภาพถ่ายของคุณ

ในการตั้งค่ากล้อง DSLR คุณจะพบรูปแบบการถ่ายภาพสองรูปแบบ คือ ไฟล์รอว์และไฟล์ JPEG ข้อดีของรูปแบบไฟล์รอว์คืออะไร ภาพไฟล์รอว์คืออะไร ไฟล์รอว์ดีกว่าไฟล์ JPEG หรือไม่ ช่างภาพทุกคนที่สนใจการถ่ายภาพดิจิทัลต้องเจอกับคำถามเกี่ยวกับประเภทของไฟล์สักครั้ง

ไฟล์รอว์นั้นไม่มีการสูญเสีย หมายความว่าสามารถเก็บข้อมูลที่ไม่โดนบีบอัดได้จากเซนเซอร์กล้อง บางครั้งก็เรียกว่าเนกาทีฟดิจิทัล คุณอาจมองว่าไฟล์รอว์คือ “ส่วนผสม” ดิบของภาพที่ต้องผ่านการประมวลผลเพื่อให้ดึงเอาศักยภาพของภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ อย่างที่คุณคาดไว้ สิ่งที่ต้องแลกสำหรับไฟล์ที่มีความละเอียดเหล่านี้คือไฟล์รอว์นั้นมีขนาดใหญ่กว่าไฟล์ JPEG เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นช่างภาพมืออาชีพส่วนใหญ่ก็ถ่ายแบบไฟล์รอว์เพราะช่วยให้ได้ข้อมูลมากขึ้นสำหรับทำงานในช่วงกระบวนการหลังการถ่าย

ไฟล์ JPEG คืออะไร

ต่างจากภาพไฟล์รอว์ ภาพ JPEG คือไฟล์รอว์เวอร์ชันที่มีการบีบอัดข้อมูล “ลองนึกภาพไฟล์ zip ดู” ช่างภาพ Nicole Morrison กล่าว คุณบีบอัดข้อมูลจำนวนมากลงในแพ็กเกจที่เล็กลง “แต่ข้อมูลเพิ่มเติมทั้งหมดในไฟล์รอว์นั้นคือสิ่งที่ให้อิสระในการปรับแต่ง เช่น สมดุลสีขาวและการเปิดรับแสง ในระดับที่ใหญ่กว่าไฟล์ JPEG มาก”

นอกจากความสามารถในการบีบอัดที่มีประสิทธิภาพแล้ว ไฟล์ JPEG ยังเป็นที่นิยมเนื่องจากกล้องช่วยคุณประมวลผลหลายอย่าง ภาพถ่ายของคุณจึงดูเสร็จสมบูรณ์มากขึ้นตั้งแต่ถ่ายจากกล้อง

ความแตกต่างระหว่างไฟล์รูปภาพต่างๆ

เมื่อคุณคุ้นเคยกับการนิยามลักษณะเฉพาะของไฟล์แต่ละประเภทแล้ว มาดูกันว่ารายละเอียดมีความสอดคล้องกันอย่างไร ต่อไปนี้คือปัจจัยสำคัญบางส่วนที่ควรคำนึงถึงตอนที่คุณเลือกระหว่างไฟล์ JPEG กับไฟล์รอว์

ขนาดไฟล์

ข้อเสียหลักๆ ของการถ่ายภาพไฟล์รอว์คือขนาดพื้นที่ที่ใช้ เป็นสิ่งที่ต้องแลกเพื่อคุณภาพของภาพที่สูงขึ้น ช่างภาพ Jenn Byrne เน้นย้ำความสำคัญของการมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลที่เพียงพอขณะถ่ายภาพไฟล์รอว์ “หากคุณเปลี่ยนจากไฟล์ JPEG เป็นไฟล์รอว์ คุณอาจแปลกใจที่ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลในการ์ดหน่วยความจำมากขนาดนี้” แต่อย่าปล่อยให้ปัญหานี้ทำให้คุณหมดกำลังใจที่จะลอง “Hard drive และการ์ดหน่วยความจำนั้นราคาถูกกว่าเมื่อ 15 ปีก่อนมาก ราคาไม่ใช่อุปสรรคของการถ่ายภาพไฟล์รอว์อีกต่อไปแล้ว” Byrne ชี้ให้เห็น

กระบวนการหลังการถ่าย

คุณภาพของภาพที่สูงขึ้นนั้นแปลงเป็นข้อมูลที่พร้อมใช้งานมากขึ้นในการแก้ไขภาพ ทำให้การใช้ไฟล์รอว์นั้นได้เปรียบกว่าไฟล์ JPEG โปรแกรมตัดต่อ เช่น Adobe Camera RAW, Bridge หรือ Lightroom นั้นสร้างขึ้นมาเพื่อปรับแต่งไฟล์รอว์ให้ออกมาเป็นภาพสุดท้ายที่สวยงาม

“ข้อดีของการแก้ไขภาพก็คือ Lightroom ไม่ได้แก้ไขภาพไฟล์รอว์ ดังนั้นเมื่อคุณส่งออกไฟล์ JPEG จาก Lightroom โปรแกรมจะสร้างไฟล์ที่ไม่ซ้ำกันขึ้นมาโดยไม่เปลี่ยนแปลงข้อมูลในภาพไฟล์รอว์ของคุณ” Morrison อธิบาย โดยเรียกว่าการแก้ไขแบบไม่ทำลาย และหมายความว่าคุณสามารถส่งออกไฟล์รอว์เป็นไฟล์ JPEG, TIFF, DNG และไฟล์อื่นๆ ได้ ทำให้คุณมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการปรับองค์ประกอบเพิ่มเติมโดยไม่สูญเสียไฟล์ต้นฉบับไป

ขอบเขตรายละเอียดของภาพ

ประโยชน์สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของไฟล์รอว์คือความสามารถในการกู้คืนเงาและไฮไลต์ในกระบวนการหลังการถ่ายได้โดยไม่ทำให้เกิดจุด Noise ที่มักมากับการตั้งค่า ISO สูง หากมีพื้นที่ที่เปิดรับแสงน้อยหรือมากเกินไปอย่างรุนแรง การใช้ไฟล์รอว์นั้นจะแก้ไขได้ง่าย

“เมื่อคุณถ่ายภาพแบบไฟล์ JPEG สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการเปิดรับแสงให้เหมาะสม” Morrison ชี้ หากคุณพยายามดึงเงาเพิ่มขึ้นหรือลดไฮไลต์บนไฟล์ JPEG ลง อาจส่งผลให้เกิดแถบลายเส้นหรือเกิด Posterization ได้ ทั้งสองอย่างนี้เกิดจากสีและระดับสเปกตรัมของไฟล์ JPEG 8 บิตที่มีอยู่จำกัด Morrison แนะนำให้เปิดใช้งานตัวชี้วัดค่าไฮไลต์เพื่อช่วยป้องกันปัญหานี้ ผู้ผลิตกล้องส่วนใหญ่จะใส่คุณสมบัตินี้มาด้วย ซึ่งช่วยแจ้งเตือนคุณถึงพื้นที่ในภาพถ่ายที่ไฮไลต์หายไปหมดในหน้าจอสำหรับดูตัวอย่าง

สมดุลสีขาว

สำหรับไฟล์ JPEG นั้น สมดุลสีขาวมีความสมดุลอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมภาพ JPEG ถึงดูเสร็จสมบูรณ์กว่าภาพไฟล์รอว์เมื่อเทียบจากภาพที่ได้จากกล้องโดยตรง “สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่คุณสามารถทำเพิ่มได้หนึ่งขั้นใน Lightroom เช่น สมดุลสีขาว คุณสามารถทำเพิ่มได้ห้าขั้นด้วยไฟล์ JPEG” Morrison ชี้ให้เห็น และแนะนำให้เรียนรู้การถ่ายภาพโดยใช้สมดุลสีขาวแบบ Manual เพื่อให้คุณสามารถดึงไปยังจุดที่ต้องการได้ในภายหลัง